Office 095 456 9145
watcharapol@jmeoverseas.com
Line ID @JMEOVERSEAS
Facebook
YouTube
Instagram
  • HOME
  • OUR TEAM
  • STUDY IN UK
    • Boarding School
    • Language School
    • Summer Camp
    • University
  • PROMOTIONS
  • VISA SERVICE
  • BLOG
    • LIFE IN UK
    • UK TIPS
    • ENGLISH LANGUAGE
  • CONTACT US

ไปเรียนที่ SWISS 1 ปี ไม่ได้มีแค่การโรงแรม

กรกฎาคม 21, 2019ไม่มีความเห็นAdmin BB

สวัสดีครับ ผมเพิ่งกลับจากการไปเรียนต่อและฝึกงานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อยากแชร์ประสบการณ์ที่ได้ไปอยู่ที่โน่นมา 1 ปี

หลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่ไทยในสาขาการจัดการโรงแรม ผมและเพื่อนอีก 2 คนสนใจที่จะไปเรียนต่อปริญญาโทด้านครัวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่การเรียนสายครัวไม่มีปริญญาโทโดยตรง ผมได้ใช้เวลาในการเลือกสถานที่เรียนอยู่หลายที่ สรุปสุดท้ายได้เลือกจะไปเรียนต่อที่สถาบัน BHMS ซึ่งมีหลักสูตร Post graduated diploma (PGD) ทางด้านครัวโดยตรงและยังเทียบเท่ากับปริญญาโทอีกด้วย ซึ่งเพื่อนผมคนนึงได้แนะนำให้รู้จักกับพี่เกมส์ เจ๊หมีโอเวอร์ซีส์ ช่วยให้ความรู้และคำแนะนำด้านการศึกษาต่อต่างประเทศช่วยให้คำปรึกษาเรื่องศึกษาต่อและเรื่องการสมัครเรียน อีกทั้งยังคอยติดตามดูแลตัวผมและเพื่อนๆอยู่ตลอดช่วงเวลาที่กำลังศึกษาอยู่ที่สวิสอีกด้วย

การเรียนใช้เวลาเรียนทฤษฎีและปฏิบัติ 6 เดือน และต้องฝึกงานในสถานประกอบการจริงอีก 6 เดือน รวมแล้วใช้เวลา 1 ปี ถึงจบหลักสูตร

เริ่มต้นเดินทางไปเรียนในเดือนพฤษภาคม 2561 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นดินแดนในฝันที่คนส่วนใหญ่อยากมาเที่ยว ผมและเพื่อนๆ เองก็คิดเช่นนั้น เมื่อเดินทางมาถึงเรามีความตื่นเต้นมาก มีความสุข ความสนุก ที่จะได้อยู่ที่นี่กัน ในช่วงเดือนที่มาเป็นช่วงที่กำลังเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนพอดี อากาศกำลังสบายๆ มลพิษและฝุ่นควันน้อยมากจนแทบไม่มีเลย อากาศปลอดโปร่ง และไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส

สถาบัน BHMS อยู่ที่เมืองลูเซิร์น ที่พักของนักเรียนจะอยู่บริเวณใกล้ๆกับโรงเรียน โชคดีที่เราติดต่อกับสถาบันไว้ก่อนมาว่าจะขออยู่ห้องเดียวกัน 3 คน ห้องพักใหญ่มาก พักกันได้ 3-4 คน มีครัวให้ทำอาหารกินกันได้ในห้องพัก

ส่วนเพื่อนๆในโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน อินเดีย พม่า มาเลเซีย และคนไทยด้วยกัน ทุกคนเป็นกันเองอาจจะเป็นเพราะมาจากเอเชียด้วยกันเลยสนิทกันได้ง่าย

มาถึงเรื่องเรียนกันบ้าง จะมีทั้งการเรียนภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี ซึ่งผมจะขอพูดถึงภาคปฏิบัติก่อน ตัวผมมาเรียนในหลักสูตร culinary art ก็จะเริ่มเรียนตั้งแต่ Basic cooking knowledge เป็นการเรียนความรู้พื้นฐานของงานครัว เชฟที่สอนเป็นคนอังกฤษ เรียนตั้งแต่การหั่นผัก การทำน้ำสต็อก การทำซอสอาหารยุโรปพื้นฐาน จนถึงขั้นได้คิดเมนูอาหาร เชฟให้ทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มจะมาจากหลายชาติมาทำงานด้วยกัน ในแต่ละวันเชฟจะให้เรียนการทำอาหารของแต่ละชาติ แล้วให้คิดเมนูของแต่ละชาติมา ได้นำ skill พื้นฐานที่เรียนปฏิบัติ มาใช้ในการทำอาหารจริงๆ

วิชาในเทอมหลังๆ เป็นการเรียนที่ advance ขึ้น ซึ่งได้นำ skill พื้นฐานจากเทอมแรกมาช่วยได้เยอะมาก เรียนทั้งการทำอาหารและทำ service ให้นักเรียนในโรงเรียนทานควบคู่กันไปด้วย เช่น การทำอาหาร European หรือ อาหาร International โดยเชฟจะให้ไปหาสูตรมาและทำกันเองในแต่ละวัน ในแต่ละประเทศ

ส่วนการเรียนภาคทฤษฎี ได้เรียนวิชา HACCP เป็นหลักสูตรเกี่ยวกับมาตรฐานอาหาร เราได้รับใบ Certificate HACCP มาด้วย รวมถึงการเรียน Wine testing และ Wine pairing ซึ่งจะเป็นวิชาที่จะให้เราชิมไวน์ชนิดและยี่ห้อต่างๆเพื่อที่จะได้รู้จุดเด่นของไวน์แต่ละประเภทและสามารถนำมาปรับใช้กับสายงานครัวได้ อีกทั้งยังได้เรียนภาษาเยอรมันพื้นฐานเพราะที่สวิตเซอร์แลนด์จะใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก รองลงมาคือใช้ภาษาฝรั่งเศส อิตาลี (ขึ้นอยู่กับแต่ละโซนที่ติดกับประเทศนั้นๆ) ส่วนภาษาอังกฤษจะไม่ค่อยพูดกัน จะใช้เฉพาะในเมืองใหญ่ๆเท่านั้นเช่นลูเซิร์น, ซูริค

ใน 1 สัปดาห์จะเรียนประมาณ 4 วัน (ขึ้นอยู่กับตารางแต่ละเทอม) หยุดเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในวันหยุด โรงเรียนจะมีกิจกรรมให้นักเรียนลงทะเบียนเพื่อที่จะไปเที่ยวกับโรงเรียน โดยจะมีแจ้งข่าวสารในเว็บเพจของโรงเรียน จะพาไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น เที่ยวเขาต่างๆในสวิตเซอร์แลนด์ เที่ยวสวนสนุกยูโรป้าปาร์คที่เยอรมัน พาไปดูหนังที่โรงหนังในสวิตเซอร์แลนด์ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย

ถ้าหากวันหยุดที่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน พวกเรามักจะไปเดินเล่นรอบๆเมือง ทำอาหารกินกันเอง เล่นฟุตบอล เล่นบาสเก็ตบอลที่สนามใกล้ๆโรงเรียนกับเพื่อนๆ ต่างชาติทำให้ได้รู้จักเพื่อนต่างชาติเพิ่มขึ้น

ในการเรียนด้านปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านครัวมาเลยก็อาจจะยากหน่อยเพราะคำศัพท์ที่ใช้เรียกในครัวกันส่วนใหญ่จะเป็นคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศส สำหรับตัวผมซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านครัวมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าเรียนยากกว่าที่ไทย ต้องอ่านหนังสือมากกว่าเรียนที่ไทยเยอะมาก ต้องขยันกว่าเดิม มีรายละเอียดการจำเยอะกว่า ดังนั้นการมาเรียนถ้าหากไม่ตั้งใจเรียน ไม่อ่านหนังสือ สอบตก ก็จะต้องลงเรียนใหม่ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียนสูงมากเมื่อเทียบกับที่ไทย ถ้าหากสอบตกก็ต้องจ่ายเงินเพื่อลงเรียนซ่อมใหม่

หลังจากที่เรียนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจบ 6 เดือน ก็ถึงเวลาไปฝึกงานจริงกันแล้ว….

 

เรื่องการหาที่ฝึกงาน

เราสามารถเลือกที่จะฝึกงานภายในประเทศสวิสเซอร์แลนด์หรือต่างประเทศก็ได้ ซึ่งถ้าเลือกที่จะฝึกที่ต่างประเทศก็ต้องปรึกษากับทางโรงเรียนเกี่ยวกับวีซ่าฝึกงานของประเทศนั้นๆที่เราอยากจะไปฝึก ส่วนตัวผมนั้นเลือกฝึกงานในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทางโรงเรียนก็จะยื่นเรซูเม่ของผมไปตามโรงแรมหรือร้านอาหารต่างๆที่กำลังเปิดรับนักศึกษาฝึกงาน แล้วก็จะนัดวันสัมภาษณ์งานให้เลย ตัวผมนั้นทางโรงเรียนนัดให้ผมไปสัมภาษณ์งานทั้งหมดสามที่แต่ส่วนใหญ่เป็นที่ที่ผมไม่ค่อยอยากจะไปฝึกงานซักเท่าไหร่ ผมก็เลยปรึกษากับโรงเรียนว่าจะยื่นเรซูเม่เพื่อหาที่ฝึกงานเองโดยให้ทางโรงเรียนช่วยติดตาม

 

ชีวิต 6 เดือนหลังในช่วงฝึกงาน

ผมได้ไปฝึกงานที่เมืองเจนีวา ที่นี่ก็จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เริ่มฝึกงานในเดือนพฤศจิกายน 61 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิตอนกลางวันจะอยู่ที่ประมาณ 0 ถึง10 องศาเซลเซียส ส่วนตอนกลางคืนก็ประมาณ –8 ถึง 5 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิก็จะแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาค) อากาศช่วงนี้ก็จะหนาวมาก มีหิมะตกเป็นบางวัน ลมก็จะแรงด้วยเช่นกัน ส่วนแสงแดดแทบไม่ต้องพูดถึง ใน1อาทิตย์จะได้เจอแดดแค่วันถึงสองวัน บางอาทิตย์ก็ไม่มีแดดเลยก็มี บรรยากาศมันก็จะรู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ ไม่มีชีวิตชีวา บวกกับต้นไม้ส่วนใหญ่จะเหลือแต่ลำต้นกับกิ่งไร้ใบไม้ ดอกไม้ก็ร่วงไปหมดแล้ว พอผมได้มาอยู่ที่นี่ก็เลยรู้สึกคิดถึงแดดที่เมืองไทยขึ้นมาทันที555 และก็ได้เข้าใจละว่าทำไมฝรั่งเค้าถึงชอบแสงแดดกันนักหนา

ตัวผมได้มาฝึกงานในแผนกครัวของหวาน โรงแรมที่ผมได้ไปฝึกงานคือ Grand Hotel Kempinski ที่เจนีวา นั่งรถไฟจากเมืองลูเซิร์นไป ประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนเพื่อนๆผมอีกสองคนก็แยกย้ายกันไปอยู่คนละเมือง ผมต้องฝึกงานทั้งหมด 6 เดือน ซึ่งต้องย้ายจากลูเซิร์น ไปอยู่ที่   เจนีวา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 61 ถึง เมษายน 62

เรื่องที่พักทางโรงแรมที่ผมฝึกงานมี อพาทเมนต์ของพนักงานให้ ส่วนค่าเช่าห้องก็จะคิดเป็นเรตพนักงานซึ่งจะถูกกว่าเช่าอพาทเมนต์ทั่วไปเอง เรื่องอาหาร การกิน ที่โรงแรมจะมีอาหารให้กินสามมื้อ สไตล์อาหารก็จะสลับๆกันไปในแต่ละวัน มีอาหารเอเชียบ้างแต่ส่วนใหญ่เลยจะเป็นยุโรป

ชุดยูนิฟอร์มของผมทางโรงแรมจะมีให้เปลี่ยนใหม่ได้ทุกวัน ไม่ต้องซักรีดเอง

ค่าเช่าอพาทเมนต์ ค่าอาหารและค่าชุดยูนิฟอร์มจะหักในเงินเดือนของผมในแต่ละเดือน

ที่พักของผมอยู่ไม่ห่างจากโรงแรม เดินประมาณ5นาทีก็ถึง และอยู่ในโซนกลางเมืองมีซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ สามารถเดินไปสถานีรถไฟประมาณ10นาที อพาทเมนต์ที่ผมพักจะมีรูมเมทร่วมห้อง 1 คน ก็จะเป็นนักศึกษาที่มาฝึกงานเหมือนกัน รูมเมทที่ผมเจอมาก็จะมีคนอินโดนีเซียและคนพม่า ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่เพราะเวลาทำงานไม่ตรงกันและวันหยุดก็ไม่ตรงกัน

ชีวิตการฝึกงาน

ตัวผมนั้นฝึกงานในแผนกครัวขนมหวาน เพื่อนร่วมงานในครัวส่วนใหญ่จะเป็นคนฝรั่งเศสเพราะว่าเมืองเจนีวาจะอยู่ติดกับชายแดนฝรั่งเศสและอยู่ใกล้กับเมืองลียงทางฝั่งฝรั่งเศสจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมีคนฝรั่งเศสมาทำงานที่เมืองนี้เยอะ ผมเข้างานตั้งแต่ 8 โมงถึง 5 โมงเย็น พักกลางวันประมาณ 35 นาที เวลาพักกลางวันก็จะไม่แน่นอนถ้างานเยอะก็อาจจะได้พักช้าหน่อย บางวันก็เลิกงานเกินเวลาบ้างขึ้นอยู่กับงานในแต่ละวัน งานที่ได้รับมอบหมายหลักๆก็คือคอยรับคำสั่งจากเชฟ ช่วยเชฟในครัวเตรียมขนมที่จะนำไปส่งให้แต่ละร้านอาหารในโรงแรมเพื่อที่จะขายในแต่ละวัน ต้องคอยเช็ควัตถุดิบที่ไว้ใช้ทำขนมว่ายังมีพอรึเปล่า เช่น พวกแป้ง น้ำตาลทราย ช็อกโกแลต ฯลฯ และคอยเช็คพวกวันหมดอายุและปริมาณของวัตถุดิบต่างๆ เช่น วนิลาครีม ทาร์ตเปล่า เอแคลร์เปล่า ฯลฯ ส่วนในวันอาทิตย์ผมก็จะได้ช่วยเชฟทำขนมและตกแต่งขนมของ Sunday brunch ด้วย

 

ชีวิตในวันหยุดช่วงฝึกงาน

ในวันหยุด ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนเพราะขี้เกียจ 555+ ส่วนใหญ่จะออกไปเดินเล่นในเมืองเจนีวา นั่งเล่นริมทะเลสาบเพราะว่าช่วงที่ผมเริ่มมาฝึกงานนี้เป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่หน้าหนาวพอดี พระอาทิตย์จะขึ้นช้าและจะตกเร็วมาก ประมาณ 5 โมงเย็นก็มืดเหมือน 2 ทุ่มบ้านเราแล้ว ทำให้กลางคืนจะยาวกว่ากลางวัน และร้านค้าต่างๆที่นี่จะปิดเร็วมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา ร้านที่นี่จะปิดประมาณ 6 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม แต่ถ้าเป็นร้านค้าที่สถานีรถไฟก็จะปิดช้า ปิดประมาณ 4 ทุ่ม ถ้าหิวๆกลางคืนก็ยังเดินมาที่สถานีรถไฟได้ ส่วนพวกร้านฟาสฟู้ด เช่น Mcdonald, Burger king ก็จะเปิด 24 ช.ม.แต่ก็ไม่ทุกสาขา

แต่ไม่ใช่ว่าวันหยุดผมจะไม่ออกไปเที่ยวที่เมืองไหนเลย ผมก็ได้นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองต่างๆในแถบสวิสตะวันตกที่ติดกับประเทศฝรั่งเศสและเมืองแถบตอนกลางของสวิสด้วย เมืองหลักๆที่ผมไปมามี เมือง Neuchâtel, Lausanne, Interlaken และ Fribourg

เก็บตกหลังช่วงฝึกงาน

หลังจากฝึกงานจบแล้วผมมีเวลาว่างประมาณ 3 อาทิตย์ก่อนบินกลับไทย ผมก็เลยวางแผนกับเพื่อนผมคนหนึ่งที่ฝึกงานจบพร้อมๆกัน ว่าจะใช้เวลาที่เหลือนี้ไปเที่ยวเก็บตกเมืองและเทือกเขาต่างๆที่ยังไม่เคยไป ระหว่างรอเพื่อนอีกคนที่ยังฝึกงานไม่จบ เมืองที่พวกผมไปก็มี Grindelwald, Lauterbrunnen, Zermatt พวกภูเขาก็มี เขา Eggishorn ซึ่งมี Aletsch glacier ที่เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของเทือกเขาแอลป์ให้ชม,

เขา First ที่ Grindelwald ,เขา Matterhorn ซึ่งเป็นโลโก้ของยี่ห้อช็อกโกแลตชื่อดังอย่าง Toblerone ที่เมือง Zermatt และยังมีเขา Uetliberg ที่สามารถนั่งรถไฟเพื่อขึ้นไปชมวิวของเมือง Zurich ได้

พอเพื่อนอีกคนฝึกงานจบ ผมและเพื่อนๆ รวมทั้งครอบครัวผมได้เดินทางมาหาผม เพื่อจะไปเที่ยวพร้อมกัน เราเริ่มต้นเที่ยวที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ยังมีที่เที่ยวที่ยังเก็บไม่ครบอีกหลายแห่ง เงินที่ใช้ในการท่องเที่ยว เราได้ใช้เงินเก็บที่ได้มาจากการฝึกงานสำหรับการท่องเที่ยวหาประสบการณ์กัน

สรุปภาพรวมข้อดี ข้อเสียจากประสบการณ์ที่ได้มาอยู่สวิสเซอร์แลนด์1ปี

ส่วนตัวผมคิดว่าข้อดีคือเรื่องคุณภาพชีวิตของคนที่นี่คือมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกประเภท เช่น รถเมล์หรือรถไฟสามารถอำนวยความสะดวกให้คนพิการและผู้สูงอายุได้ดี, มีลิฟต์ไว้ให้คนพิการสามารถเข้าถึงได้, คุณภาพระบบขนส่งสาธารณะ มีรถไฟที่ไปได้แทบทุกที่ในสวิส

ข้อดีด้านอื่นๆ เช่น การตรงต่อเวลาของคนที่นี่, ความซื่อสัตย์ ความยิ้มแย้ม มีน้ำใจ เป็นกันเองของคนสวิส, เรื่องมลพิษที่นี่น้อยมาก, ความปลอดภัยค่อนข้างดี, เรื่องการลดใช้ถุงพลาสติก และกระดาษที่ไม่จำเป็น และที่สำคัญคือเวลาเราเดินข้ามถนนตรงทางมาลาย ถ้าเท้าเราถึงถนน รถทุกคันจะหยุดให้เราข้ามทันที มีความปลอดภัยในการข้ามถนนอย่างดีมากในประเทศแถบยุโรป

ส่วนทางด้านข้อเสียคือค่าครองชีพที่สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก, ความหลากหลายทางด้านอาหาร การกินที่น้อย, สภาพอากาศที่แปรปรวนแบบสุดๆ อยู่ดีๆวันนี้ร้อนมาก พรุ่งนี้กลายเป็นหนาวมากก็มี, ห้างร้านต่างๆที่ปิดเร็ว โดยเฉพาะวันอาทิตย์ร้านค้าจะปิดหมดทุกที

ประสบการณ์ที่ผมได้รับโดยตรง คือทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความกล้าตัดสินใจ มีความรับผิดชอบเมื่อต้องอยู่ห่างจากครอบครัว ได้เรียนรู้การจัดการภายในครัวมากขึ้น เทคนิคการทำงานอย่างเป็นระบบ ได้สูตรขนมยุโรปมากมายจากโรงแรมที่ได้ไปฝึกงาน ได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมของคนต่างชาติ การได้มีโอกาสมาอยู่ที่สวิสถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยครับ

: Beyoundboarders, LifeinUK, Switzerland, UKlife

Related Articles

เรียนภาษาที่สิงคโปร์ดีอย่างไร???

พฤษภาคม 20, 2019Admin BB

Beyond Spring Camp 2019

ธันวาคม 23, 2018Admin BB

10 เรื่อง Netflix สไตล์บริติชที่ต้องดู!!!

พฤษภาคม 20, 2019Admin BB

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Contact Us

เรื่องล่าสุด

  • เรียน ENG 🇬🇧 เติม Vitamin SEA 🏝 ที่ London School of Commerce เพียง 219 บาท/ชั่วโมง 💰🐻✈️⁣
  • #เรียนภาษาที่อังกฤษ ค่าเรียนถูกมาก! @Burlington เฉลี่ยเพียงสัปดาห์ละ 6,800 บาท!
  • STUDY TOUR IN TOTNES – ไปซัมเมอร์ที่อังกฤษ 2020
  • STUDY TOUR IN LONDON 2020 – ไปซัมเมอร์ที่อังกฤษ 2020
  • British Boarding Taster 2020 – ทดลองเรียนและใช้ชีวิตในโรงเรียนประจำบริทิชขนานแท้ 2020

หมวดหมู่

  • BLOG
    • ENGLISH LANGUAGE
    • Event
    • LIFE IN UK
    • UK TIPS
  • Gallery
  • PROMOTIONS
  • SUMMER CAMP
  • Template
  • Uncategorized

ป้ายกำกับ

AcademicEnglish Adcoteschool Beyond-boarders BeyondBoarders BeyondSpring2019 BeyondStudyTour Beyoundboarders BHMS Boarder BritishBoardingTaster Buckswood BurlingtonSchool Education EducationAdvisor England English EnglishExperience image JaemeOverseas LanguageSchool LifeinUK LSCMalta Lucern Oxford Promotion social StudyinUK Summer Camp Summercourse Switzerland UK UKBoardingSchool UKlife United Kingdom University video ซัมเมอร์อังกฤษ ฝึกภาษา เรียนซัมเมอร์ เรียนต่อต่างประเทศ เรียนภาษาต่างประเทศไม่เกินแสน เรียนภาษาร้องหาเจ๊ เรียนอังกฤษ โปรแกรมซัมเมอร์ ไปอังกฤษคิดถึงเจ๊

ทำไมต้องเจ๊หมีโอเวอร์ซีส์?

เพราะเราบริการด้วยใจ ให้คำตอบ แก้ไขปัญหาด้วยความรู้ ครบเครื่องเรื่องเรียนต่ออังกฤษ ภายใต้คอนเซปต์ 
“ไปอังกฤษ..คิดถึงเจ๊!”

เรื่องล่าสุด

  • เรียน ENG 🇬🇧 เติม Vitamin SEA 🏝 ที่ London School of Commerce เพียง 219 บาท/ชั่วโมง 💰🐻✈️⁣ ตุลาคม 12, 2020
  • #เรียนภาษาที่อังกฤษ ค่าเรียนถูกมาก! @Burlington เฉลี่ยเพียงสัปดาห์ละ 6,800 บาท! พฤศจิกายน 12, 2019
  • STUDY TOUR IN TOTNES – ไปซัมเมอร์ที่อังกฤษ 2020 พฤศจิกายน 12, 2019

Contacts

เจ๊หมีโอเวอร์ซีส์
999/65 Watcharapol Rd., Khlong Thanon, Sai Mai, Bangkok 10220
Office 095 456 9145
explore@jmeoverseas.com
Email
Facebook
YouTube
Instagram

© Copyright 2025 JMEOVERSEAS